ผู้มีบุตรยากต้องอ่าน! รวมความเชื่อ...ทำแบบนี้จะตั้งครรภ์ยากจริงหรือไม่?
คุณพ่อคุณแม่ผู้มีบุตรยากและอยากตั้งครรภ์ อาจจะได้อ่านได้ฟังแนวคิดและเคล็ดลับ “ควรทำ-ไม่ควรทำ” มาจากผู้แนะนำหลายคนหรือการหาอ่านบทความจากอินเตอร์เน็ตมากมาย นอกจากคำแนะนำจากแพทย์ตามโรงพยาบาลและคลินิกเฉพาะทางชั้นนำที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องรับฟังและปฏิบัติตามแล้ว วันนี้เรายังมีเคล็ดลับที่ควรทำ-ไม่ควรทำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อยากตั้งครรภ์ เพื่อปรับพฤติกรรมให้ดีต่อร่างกาย ทำไว้ก็ไม่เสียหายเพื่อจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะในคุณพ่อคุณแม่ที่อยากตั้งครรภ์ปกติ หรือที่มีภาวะเป็นผู้มีบุตรยาก อยู่ระหว่างรับการรักษาทางกาแพทย์ด้วยวิธี IVF IUI หรือ ICSI เราก็อยากให้นำแนวคิดและเคล็ดลับเหล่านี้ไปลองใช้กันดู
เรื่องแรก การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ในปริมาณที่มากเกินไปส่งผลดีต่อทั้งคุณแม่และคุณพ่อที่เตรียมตั้งครรภ์จริงหรือไม่ คำตอบก็คือ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากนั้น ส่งผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย และทำให้โอกาสในการมีลูกลดลงถึง 50% โดยอาจทำให้ปริมาณของอสุจิลดลง ไม่แข็งแรง เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ทั้งยังลดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อความแข็งแรงของอสุจิด้วย และในส่วนของผู้หญิงนั้น หากต้องการทำการฝากไข่หรือแช่แข็งไข่ที่เรียกว่า IVF จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ 1 แก้วต่อวัน ในช่วงที่พยายามมีบุตร จะมีโอกาสล้มเหลวในการรักษาเพิ่มขึ้นได้หลายเท่าตัวเลย
ส่วนบุหรี่นั้น จะมีสารนิโคตินก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบสืบพันธุ์ในผู้ชาย ซึ่งอาจทำให้ฮอร์โมนผิดปกติ ในการสูบบุหรี่แต่ละครั้งนั้น ผู้สูบจะต้องสัมผัสกับสารพิษแคดเมียมและตะกั่วในปริมาณสูง มีงานวิจัยหลายฉบับที่พบว่า การมีระดับตะกั่วในเลือดสูงกว่าปกติส่งผลโดยตรงต่อระบบสืบพันธุ์ ตั้งแต่ด้านการผลิตน้ำเชื้อที่มีจำนวนของอสุจิลดลง รูปร่างของเชื้ออสุจิรูปร่างบิดเบี้ยวผิดปกติ DNA มีความเสียหาย เป็นเหตุให้การปฏิสนธิไม่ปกติ ทารกมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติทางด้านพัฒนาการทั้งร่างกายและสมอง นอกจากนี้ ผู้ชายที่สูบบุหรี่เป็นประจำมักมีปัญหาด้านสมรรถภาพทางเพศ (อวัยวะเพศไม่แข็งตัว) สูงกว่าปกติถึง 3 เท่า
ในผู้หญิงนั้น บุหรี่จะส่งผลให้การตกไข่ในผู้หญิงลดลง โดยผู้หญิงที่สูบบุหรี่มากกว่าวันละ 10 มวน ส่งผลให้มีบุตรยากได้กว่าผู้หญิงทั่วไปมากถึง 3 เท่า นอกจากนั้น บุหรี่ยังลดประสิทธิภาพของมดลูกที่เป็นที่ฝังของตัวอ่อนอีกด้วย แค่นั้นยังไม่พอ บุหรี่ยังทำให้ผู้หญิงถึงวัยหมดประจำเดือนหรือที่เรียกว่า อาการวัยทอง เร็วกว่าปกติอีกด้วยค่ะ ส่วนผู้หญิงที่ไม่ได้สูบบุหรี่เองแต่ได้รับควันจากบุหรี่จากคุณพ่อหรือคนในครอบครัว ก็ส่งผลร้าย ทำให้ระบบการสืบพันธุ์มีปัญหาและความสามารถในการตั้งครรภ์ลดลง
โดยมีงานวิจัยที่ยืนยันว่า ผู้หญิงที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง (Secondhand Smoke) จะมีปริมาณของไข่ที่ผลิตได้มีจำนวนน้อยลงไข่ที่มีคุณภาพเพียงพอต่อการทำเด็กหลอดแก้วนั้น มีจำนวนลดลงถึง 46% และมีอัตราความสำเร็จของการทำเด็กหลอดแก้วเหลือเพียงแค่ 22% ในขณะที่คู่สามีภรรยาที่ไม่สูบบุหรี่จะมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าถึง 38% เลยค่ะ ได้อ่านแบบนี้แล้ว คุณพ่อและคุณแม่ที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์หรือมีบุตรยาก ควรลด ละ เลิก หรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพื่อคุณภาพของการตั้งครรภ์
เรื่องที่สอง คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่เตรียมจะมีบุตรหรืออยู่ระหว่างพยายามจะมีบุตร มีบุตรยาก อาจเคยสงสัยกับแนวคิดที่มีคนเคยบอกว่า การดื่มกาแฟ ชา โกโก้ ซึ่งมีสารคาเฟอีนผสมอยู่ในปริมาณมากนั้น จะมีผลต่อการตั้งครรภ์ แนวคิดนี้จริงหรือไม่ สำหรับคุณแม่ที่เตรียมตัวจะตั้งครรภ์นั้น ทางการแพทย์แนะนำว่า ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ ชา และเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่มีสารคาแฟอีน เพราะสารที่มีคาเฟอีนนั้นเมื่อถูกดื่มเข้าไปแล้ว จะถูกย่อยเป็นสารชื่อว่า Paraxanthine สารนี้จะดูดซึมผ่านรกและเยื่อหุ้มสมองของเด็กได้ และมีผลยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์และทำให้ทารกหยุดพัฒนาตัวอ่อนอีกด้วย
สาเหตุที่คุณแม่กำลังตั้งท้องควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเหล่านี้ เพราะมีส่วนผสมของสารคาเฟอีนมากจนเกินไปซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นมีอยู่หลายประการ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มมากขึ้น หรือส่งผลให้ความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ คาเฟอีนยังทำให้เกิดภาวะตื่นตัวยากต่อการนอนพักผ่อนซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณแม่ และทารกในครรภ์
แล้วปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มและขนมที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรระวัง มีปริมาณอยู่ที่เท่าไรกันบ้าง?
- กาแฟ 1 แก้ว: แบบสำเร็จรูป มีคาเฟอีนประมาณ 63 มิลลิกรัม / กาแฟชงเอง มีคาเฟอีนประมาณ 95 ถึง 165 มิลลิกรัม
- ชา 1 แก้ว: แบบสำเร็จรูป มีคาเฟอีนประมาณ 26 ถึง 36 มิลลิกรัม / ชาชงเอง มีคาเฟอีนประมาณ 48 มิลลิกรัม
- โกโก้ 1 แก้ว: โกโก้ร้อนมีคาเฟอีนประมาณ 8 ถึง 12 มิลลิกรัม
- น้ำอัดลม 1 กระป๋อง: มีคาเฟอีนประมาณ 37 มิลลิกรัม
นอกจากนี้ผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ยังพบว่า หญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์ หากได้รับคาเฟอีนน้อยกว่า 2 มิลลิกรัมต่อวันมีโอกาสตั้งครรภ์สำเร็จมากกว่าคนที่ดื่มคาเฟอีนปริมาณมากกว่า 50 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ สมาคมสูตินรีแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา (ACOG) ก็แนะนำไว้ว่า ผู้เตรียมเป็นคุณแม่ทั้งหลายไม่ควรดื่มคาเฟอีนเกินวันละ 200 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะโอกาสเสี่ยงแท้งบุตรจะเพิ่มสูงขึ้น 2 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้นข้อแนะนำสำหรับหญิงที่ตั้งใจจะมีบุตรคือ หากงดดื่มกาแฟ ชา โกโก้เลยก็จะดีที่สุด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรดื่มในปริมาณที่น้อยที่สุด ไม่เกินวันละ 1 แก้ว
ส่วนในผู้ชายที่เตรียมตัวเป็นคุณพ่อ ก็มีข้อมูลผลวิจัยจากโรงพยาบาลกลางมลรัฐแมสซาชูเซตส์ที่เก็บข้อมูลระหว่างปี 2007-2013 พบว่า ผู้ชายที่ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนประมาณ 265 มิลลิกรัมต่อวัน มีความเสี่ยงที่จะทำให้ภรรยาตั้งครรภ์ยากขึ้น เพราะจะหลั่งอสุจิได้น้อยลง โดยปริมาณการดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนที่เหมาะควรอยู่ที่ 88 มิลลิกรัมต่อวัน
แพทย์ชาวอังกฤษผู้เชี่ยวชาญเรื่องการมีบุตรแห่งมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ ยังกล่าวด้วยว่า ทั้งเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และน้ำหนักตัวที่มากเกินไปนั้น ถือเป็นพิษภัยต่อเซลล์ไข่ของผู้หญิง ซึ่งจะทำให้มีบุตรยากหรือโอกาสตั้งครรภ์จะน้อยลง เมื่อได้ข้อมูลแบบนี้แล้ว ผู้ที่เตรียมตัวเป็นคุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมลดหรือเว้นการดื่มกาแฟในช่วงที่กำลังเตรียมมีบุตรกันไว้ก่อน
ปิดท้ายที่เรื่องที่สาม กับคำถามที่ว่าการกินยาคุมกำเนิดทำให้มีบุตรยากจริงหรือไม่ ยาคุมกำเนิดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมีอยู่หลายประเภท ซึ่งในแต่ละชนิดนั้นแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะและคุณสมบัติของยาคุมชนิดนั้น ๆ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีวิธีการใช้และระยะเวลาในการคงประสิทธิภาพคุมกำเนิดที่แตกต่างกัน ส่วนความเชื่อเรื่องกินยาคุมบ่อยมีบุตรยาก และความเชื่อว่า การทานยาคุมกำเนิดหรือการใช้ยาคุมกำเนิดเป็นเวลานานหลายๆ ปี จะทำให้มดลูกแห้ง ผนังมดลูกบาง และส่งผลให้มีลูกได้ยากกว่าคนทั่วไปนั้น ความจริงแล้ว ยาคุมกำเนิดแทบไม่มีผลต่อการทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก
แบบที่ 1 ยาคุมแบบเม็ด ซึ่งเป็นยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย มีทั้งแบบ 21 เม็ดและแบบ 28 เม็ด ยาคุมชนิดนี้มีตัวยาที่สำคัญ ช่วยคงประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด แต่ข้อเสียคือ หมดฤทธิ์เร็ว ทำให้ในบางรายที่ทานยาไม่ต่อเนื่องหรือหยุดทานยาก็สามารถทำให้ตั้งครรภ์ได้ สำหรับการทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ดนั้น ทางการแพทย์มีผลรับรองว่า ไม่สามารถให้เกิดภาวะมีบุตรยาก
แบบที่ 2 ยาคุมฉุกเฉิน เป็นยาที่ประกอบไปด้วยฮอร์โมนขนาดสูง 2 เม็ดที่จะคงประสิทธิภาพการคุมกำเนิดได้สูงสุดเพียง 60-70% ในกรณีที่ทานภายใน 48-72 ชั่วโมง ยาคุมประเภทนี้ไม่มีผลต่อการทำให้เกิดมีบุตรยาก ซึ่งหลังจากที่ทานเข้าไปอาจจะมีผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้ประจำเดือนเลื่อน หรือมาแบบกะปริบกะปรอย และเกิดภาวะไข่ตกผิดปกติ
หากคุณพ่อคุณแม่กำลังประสบปัญหามีบุตรยากหรืออาจเคยมีพฤติกรรมที่ทำให้มีบุตรยากข้างต้นแล้วอาจจะกังวลว่าจะไม่สามารถมีบุตรได้ ไม่ว่าจะอายุเท่าไรหรือสุขภาพเป็นอย่างไร ปัจจุบันนั้นก็มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถรักษาภาวะมีบุตรยากได้อย่างตรงจุด เทคนิคนี้หลายคนมักจะคุ้นหูกันในชื่อการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) การคัดเชื้อฉีดเข้าโพรงมดลูก (IUI) และการทำอิ๊กซี่ (ICSI) เป็นตัวช่วยอยู่ด้วย กระบวนการนี้เป็นเทคนิคทางแพทย์ที่ช่วยเรื่องการเจริญพันธุ์ในเชิงของการปฏิสนธินอกร่างกาย และถือเป็นเทคนิคการแพทย์ชั้นสูงที่ถูกพัฒนามาจากการทำเด็กหลอดแก้วแบบ IVF แต่ให้ผลลัพธ์เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จที่สูงกว่า โดยแต่ละวิธีก็จะมีราคาค่าบริการแตกต่างกันไป
เพราะการทำ IVF นั้นจะเป็นการคัดเลือกไข่ที่สมบูรณ์และเชื้อที่แข็งแรงมาผสมกันจนเป็นตัวอ่อนและจึงนำกลับเข้าไปที่โพรงมดลูก แต่การทำ ICSI จะเป็นการปฏิสนธิแบบตั้งใจก็คือ การนำเข็มใส่เชื้อที่แข็งแรงที่สุดฉีดเข้าไปในไข่เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิจนกลายเป็นตัวอ่อนแล้วจึงนำกลับไปในโพรงมดลูก สามารถคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมตัวอ่อนได้มากกว่าครรภ์ทั่วไป ช่วยลดความเสี่ยงกับโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ และยังลดความเสี่ยงต่อบุตรในท้องลูกที่เกิดมาอาจเป็นดาวน์ซินโดรมได้อีกด้วย ซึ่งโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์โดยวิธีของการทำอิ๊กซี่นั้นมีสูงถึง 80-85 % อีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ที่มีบุตรยากและอยากตั้งครรภ์จึงควรศึกษารูปแบบเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองร่วมกับแพทย์จากโรงพยาบาลและคลินิกเฉพาะทางทางการแพทย์ที่จะตรวจและรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละคนด้วย
อ้างอิง
https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/article_detail/pregnant-women-drink-coffee-tea-cocoa
สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก
กับศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจินตบุตร
