ฟาสต์ฟู้ด ขนมถุง น้ำอัดลม ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่มีบุตรยากได้ยังไง?

 

ฟาสต์ฟู้ด ขนมถุง น้ำอัดลม ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่มีบุตรยากได้ยังไง?

 

ฟาสต์ฟู้ด ขนมถุง น้ำอัดลม ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่มีบุตรยากได้ยังไง?

 

ผู้หญิงที่วางแผนเป็นว่าที่คุณแม่ท้องควรเลือกทานอาหารให้ได้ "สารอาหาร" ไม่ใช่จะทานอะไรก็ได้ แต่ต้องทานให้ครบ 5 หมู่และเลือกแหล่งสารอาหารที่ดี เพิ่มการทาน โปรตีนจากพืช  ลดคาร์บขัดสี งดหวานเด็ดขาด ทานกรดไขมันดี เน้นสารแอนตี้ออกซิแดนท์  โดยจากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยเกี่ยวกับผู้มีบุตรยากทั้งในและต่างประเทศ พบว่าสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงมีบุตรยากมีหลากหลายสาเหตุ โดยพฤติกรรมการกินยอดฮิตที่ยิ่งทำยิ่งทำให้มีบุตรยากได้แก่

 

การทานอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ   มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontier in Public Health เมื่อปี 2018 ระบุว่าการทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการที่จะส่งผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโปรตีน ที่เป็นสารอาหารบำรุงเซลล์ไข่ ช่วยให้ไข่ตกปกติ และสำหรับคนที่ทำเด็กหลอดแก้ว การทานโปรตีนเพิ่มขึ้นช่วยเพิ่มอัตราความสำเสร็จในการตั้งครรภ์ สำหรับคนเตรียมท้องควรเลือกทานโปรตีนจากพืช ไขมันดี และวิตามินแร่ธาตุครบถ้วนมีความเสี่ยงเรื่องภาวะไม่ตกไข่ลดลงถึง 66%

 

การทานของหวาน ทานน้ำตาลมากเกินไป เพราะในน้ำตาลมีอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเซลล์ ทำให้แก่ ทำให้เซลล์ไข่เสื่อม และด้อยคุณภาพ ที่สำคัญหากระดับน้ำตาลในเลือดสูงจะกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ที่เป็นความเสี่ยงต่อการเป็นโรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS หากเกิดภาวะดื้ออินซูลินที่ทำให้ไข่ไม่ตกเรื้อรัง ไข่ใบเล็ก ด้อยคุณภาพ ยิ่งทำให้มีบุตรยาก

 

จะเห็นว่าอาหารการกินนั้นก็มีผลต่อการประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ในคุณพ่อคุณแม่ที่อยากมีลูกรวมไปถึงที่ตกอยู่ในภาวะมีบุตรยากด้วยเหมือนกัน มีผลการวิจัยหลายชิ้นระบุถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด ขนมถุง น้ำอัดลมกับโรคต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และภาวะมีบุตรยากก็ด้วย โดยหากดูจากที่เกิดกับฝ่ายชายก่อนแล้วละก็ ผู้ชายหรือว่าที่คุณพ่อผู้มีบุตรยากคนไหนที่กินอาหารขยะหรือจังก์ฟู้ดเป็นประจำ ต้องระวังการกินไว้ให้ดี

 

มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่า วัยรุ่นเพศชายที่กินอาหารตะวันตกซึ่งอุดมด้วยไขมันและน้ำตาลสูง เช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ โดนัท มันฝรั่งถุง และน้ำอัดลมเป็นประจำ มีจำนวนอสุจิน้อยกว่าที่ควร แถมยังไม่แข็งแรงเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับกลุ่มวัยรุ่นชายที่กินอาหารมากประโยชน์อย่างปลา ไก่ ผัก ผลไม้ และน้ำเปล่า กลุ่มหลังนี้จะมีปริมาณอสุจิที่สูงกว่ามาก ข้อมูลนี้ได้มาจากทีมวิจัยที่ได้ศึกษาพฤติกรรมการกินเทียบกับคุณภาพของอสุจิและการผลิตฮอร์โมนของวัยรุ่นชายวัย 18-20 ปี จำนวน 3,000 คน ผ่านการทดสอบด้านสมรรถภาพทางกายของหน่วยทหาร ซึ่งหมายความว่า จะต้องเป็นผู้ชายที่แข็งแรงพอสมควรเลยทีเดียว

 

อย่างไรก็ตามก็อาจยังไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่า การกินอาหารจังก์ฟู้ดวันนี้ส่งผลต่อการมีบุตรในอนาคต เพราะแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินปัสสาวะ จาก NYU Langone Health ได้กล่าวถึงงานวิจัยชิ้นนี้ว่า สิ่งที่การศึกษาวิจัยทางการแพทย์ชิ้นนี้ไม่ได้บอกคือ การกินอาหารขยะในช่วงวัยรุ่นส่งผลต่อการมีบุตรในอนาคตจริงหรือไม่ เนื่องจากเป็นการเก็บข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นการศึกษาต่อในระยะยาวที่ต้องใช้เวลาตรวจสอบหลายรอบ แพทย์จึงไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่า ปริมาณอสุจิที่ลดน้อยลงนี้จะเป็นไปอย่างถาวรหรือหมายถึงไปจนถึงตอนที่วัยรุ่นชายโตเป็นผู้ใหญ่

 

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งได้ตั้งทฤษฎีไว้ว่า อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปได้เข้าไปฆ่าเซลล์ที่ช่วยในการผลิตอสุจิอย่างเซลล์เซอโทลิ (Sertoli Cells) ที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยืนยันได้ในตอนนี้เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นรองรับแล้ว ได้แก่ การกินอาหารที่มีสารแอนติออกซิแดนท์สูง การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม และการมีดัชนีมวลกาย (BMI) ที่ไม่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็น 3 สิ่งสำคัญในการผลิตอสุจิที่มีคุณภาพ

 

ส่วนในคุณแม่ที่อยากตั้งครรภ์นั้น หากอยากมีบุตรหรือตกอยู่ในภาวะมีบุตรยาก ต้องปรับเปลี่ยนอาหารการกินกันไม่มากก็น้อย เพราะการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะไม่มีลูก หรือทำให้มีลูกยากได้มากถึง 41% เมื่อเทียบกับผู้หญิงอยากตั้งครรภ์ที่ไม่กินอาหารฟาสต์ฟู้ดเลย ซึ่งเรื่องนี้มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในประเทศออสเตรเลีย ได้เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ในโรงพยาบาลและคลินิกเฉพาะทางอย่าง Human Reproduction ซึ่งทำการวิเคราะห์อาหารการกินของผู้หญิง 5,598 คนในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์

 

พบว่า คุณผู้หญิงที่ไม่กินผักและผลไม้และชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดมากเกินไป ส่งผลทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก รวมไปถึงอาจทำให้ใช้ระยะเวลานานมากขึ้นกว่าจะเริ่มตั้งครรภ์ได้ โดยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแอดิเลตในออสเตรเลียก็ได้รวบรวมข้อมูลจากแบบทดสอบระหว่างปี 2004 – 2011 ในประเทศออสเตรเลีย อังกฤษและนิวซีแลนด์เพื่อศึกษาผู้หญิงเกือบ 500 คนที่ตั้งครรภ์แรก 

 

ผลของการวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างการไม่รับประทานผลไม้และการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด ต่อระยะเวลาก่อนการเริ่มตั้งครรภ์และความเสี่ยงที่จะมีบุตรยาก ปรากฏว่า ผู้หญิงที่กินผลไม้ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน มีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสตั้งครรภ์เร็วกว่า ส่วนผู้หญิงที่กินผลไม้น้อยกว่า 1-3 ครั้งต่อเดือน โอกาสในการตั้งครรภ์จะยาวนานออกไปอีกครึ่งเดือน ทั้งนี้ ผู้หญิงที่ไม่รับประทานผลไม้เลยจะตั้งครรภ์ช้ากว่าผู้หญิงที่รับประทานผลไม้อย่างน้อย 3 ชิ้นต่อวัน ราว 2 สัปดาห์

 

และผู้หญิงที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเช่น เบอร์เกอร์ พิซซ่า และไก่ทอดแบบดิฟฟราย 4 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะตั้งครรภ์ช้ากว่าผู้หญิงที่ไม่เคยหรือแทบจะไม่รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเลยราว 1 เดือน นอกจากนี้ การรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่จะไม่มีบุตรได้มากถึงร้อยละ 41 เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่รับประทาน อาหารฟาสต์ฟู้ดเลย

 

ได้ฟังได้อ่านกันแบบนี้แล้ว หากคุณพ่อคุณแม่อยากตั้งครรภ์หรือพ้นจากสถานการณ์ภาวะมีบุตรยากคงจะต้องให้ความสำคัญกับการกินด้วย งดลดเลิกอาหารจังก์ฟู้ดได้เป็นดีที่สุด แต่ถ้าดูแลอาหารการกินก็แล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จด้วยการมีบุตรตามวิธีธรรมชาติ คงจะต้องหันไปพึ่งวิทยาการทางการแพทย์แทน ซึ่งในปัจจุบันมีวิธีต่าง ๆ มากมาย เพราะในปัจจุบันพบว่าคู่สมรสที่มีบุตรยากหันมาใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์มากถึงประมาณ 7,000 รายต่อปี

 

การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน มีตั้งแต่คัดเชื้อเพื่อฉีดเข้าโพรงมดลูก (Intrauterine insemination: IUI) เป็นการรักษาการมีบุตรยากที่สะดวกและราคาเหมาะสำหรับคู่สมรสที่ตรวจไม่พบปัญหาทางร่างกายที่ชัดเจนหรือมีความผิดปกติของน้ำเชื้อแค่เล็กน้อย หรือการทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertilization: IVF) การรักษาที่สะดวก ไม่ต้องเจาะหน้าท้อง และให้อัตราการตั้งครรภ์สูง หรือการฉีดเชื้ออสุจิเพียงหนึ่งตัวเข้าไปในเซลล์ไข่หรืออิ๊กซี่ (Intracytoplasmic Sperm Injection: ICSI) เหมาะสำหรับคู่สมรสที่มีอสุจิน้อยมากจนไม่สามารถปฏิสนธิไข่ได้เองหรือไม่มีตัวอสุจิเลย แต่อัณฑะยังคงมีการผลิตอสุจิอยู่

 

การทำเด็กหลอดแก้วหรือ IVF เป็นวิธีการรักษาโรคมีบุตรยากด้วยวิธีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายในหลอดทดลอง จากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่ได้มาเพาะเลี้ยงต่อจนอายุ 3-5 วัน จึงนำกลับเข้าสู่ร่างกายฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการฝังตัวและตั้งครรภ์ต่อไป IVF หรือเด็กหลอดแก้ว ก็เป็นนวัตกรรมที่มีความทันสมัย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่มีบุตรยากสามารถมีบุตรได้อย่างที่ต้องการ วิทยาการทางการแพทย์ของการทำเด็กหลอดแก้วหรือ IVF กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องมือมากกว่าวิธีอื่น มีราคาค่อนข้างสูง แต่ก่อนที่จะทำเด็กหลอดแก้วนั้น อาจจะลองรักษาด้วยวิธีอื่นเช่น การฉีดเชื้อผสมเทียม การกระตุ้นไข่ การผ่าตัด แต่การทำ IVF ไม่ใช่จะสำเร็จเสมอไป ทุก ๆ ครั้งที่ย้ายตัวอ่อนจะมีอัตราสำเร็จเฉลี่ยเพียง 35% ดังนั้นต้องเผื่อใจในกรณีที่ไม่สำเร็จด้วย

 

อ้างอิง

https://thestandard.co/mens-fertility-irreversibly-damaged-age-18-thanks-western-junk/

https://www.amarinbabyandkids.com/pregnancy/get-pregnant/infertility/eat-fast-food-makes-hard-pregnancy/2/

https://www.bangkokbiznews.com/health/946384

 

 

สอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาภาวะมีบุตรยาก

กับศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจินตบุตร